นอกจากเงินเดือน สวัสดิการอะไรที่ดึงดูดผู้สมัครได้
5 กลุ่มสวัสดิการดึงดูดใจคนสมัครงาน ปี 2023
ก่อนอื่นบริษัทต้องมองว่า สวัสดิการไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนทำงานเพียงอย่างเดียว องค์กรเองก็ได้ประโยชน์ไม่ต่างกัน ลองปรับมุมมองว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแล้วการเปลี่ยนแปลงอะไร ๆ ก็จะง่ายขึ้น อย่าเอาประโยค “ทำงานแบบครอบครัว” มาเป็นจุดขาย โดยที่ข้างในเป็นครอบครัวแบบพ่อแม่รังแกฉัน จนท้ายที่สุดแล้วก็จะทำให้คนเก่งทยอยออกจากองค์กรของคุณไปเรื่อย ๆ
แล้วสวัสดิการแบบไหนละ? ที่ตรงใจคนทำงานยุคนี้ ปรับตัว ตั้งรับการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้!
1.สวัสดิการที่ให้ความมั่นคง
ขอเริ่มด้วยกลุ่มสวัสดิการอันดับแรก ๆ ที่หลายคนให้ความสำคัญ ไม่ใช่แค่เงินเดือนที่ให้ความมั่นคงกับคนทำงานได้เท่านั้น กลุ่มสวัสดิการจำพวกประกันคุ้มครองด้านการดูแลสุขภาพ 100% แผนการรักษาพยาบาล ที่ไม่ได้ให้แค่คนทำงานเท่านั้น แต่ยังดูแลไปถึงครอบครัวของพนักงาน รวมถึงบางแห่งมีประกันให้สัตว์เลี้ยงของคนทำงานด้วย
นอกจากนี้สวัสดิการอย่างพวกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) รวมถึงแผนการเกษียณอายุงานก็เป็นอีกหนึ่งสวัสดิการที่คนทำงานให้ความสำคัญ อย่าง Google เอง มีสวัสดิการที่ว่าหากพนักงานเสียชีวิต บริษัทจะจ่ายเงิน 50% ของเงินเดือนพนักงานที่เสียชีวิตให้คู่รักของเขาเป็นเวลา 10 ปี อย่างน้อยให้คนทำงานเห็นว่าระหว่างทางที่ดำเนินไปนั้น ปลายทางจะเจอกับอะไรที่ให้ความมั่นคงได้
2.สวัสดิการเรื่องสุขภาพ
สุขภาพของคนทำงานทุกวันนี้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องร่างกายแค่เลเยอร์เดียวอีกต่อไป เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกเป็นอีกหนึ่งสุขภาพใจ ที่องค์กรใหม่ ๆ ในยุคนี้ให้ความสำคัญกับ “หัวใจที่เป็นสุข” ของพนักงาน สะท้อนให้เห็นผ่านกลุ่มสวัสดิการต่าง ๆ ที่มีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น
บริการนวดฟรีประจำออฟฟิศ
วอยเชอร์หรือส่วนลดค่าสปา ออนเซ็น
ฟิตเนสสำหรับออกกำลังกายฟรี พร้อมคลาสสอน
เบิกค่าปรึกษาจิตแพทย์ฟรี
อกหัก/เสียใจ/มีปัญหาชีวิต ลาได้โดยบริษัทไม่หักเงิน
เบิกค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนได้
บริการพบการแพทย์ทางไกลฟรี (Telemedicine)
การตรวจสุขภาพประจำปี
3.สวัสดิการเรื่องรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น
แม้สถานการณ์โควิดจะเบาบางลง แต่หนึ่งในสิ่งที่หลงเหลืออยู่คือรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้น ทั้งการทำงาน work from home หรือ work from anywhere โดยทั้งสองรูปแบบนี้ถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในสวัสดิการชูโรงมากขึ้น เพื่อเอาใจคนทำงานในยุคนี้ ซึ่งแน่นอนว่าการทำงานรูปแบบนี้ถูกใจคนทำงานแน่นอน เพราะทั้งลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง พนักงานเองก็ไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง
นอกจากนี้การเข้างานแบบนับชั่วโมงก็ถูกเอามาใช้มากขึ้น องค์กรหลายแห่งเริ่มให้อิสระกับคนทำงาน จะเข้าเวลาไหนก็ได้แต่บวกชั่วโมงการทำงานให้ครบ ไม่ต้องมาแออัดบนขนส่งสาธารณะช่วงเช้า รวมไปถึงการให้พนักงานลาพักร้อนได้ไม่มีจำกัดโดยไม่หักเงิน ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องอยู่ภายใต้การรับผิดชอบงานได้ตามเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพ
4.สวัสดิการเรื่องไลฟ์สไตล์
กลุ่มสวัสดิการมาใหม่มาแรงในปีนี้ สังเกตได้ว่ามีหลายองค์กรเริ่มให้ความสนใจในความสุขไลฟ์สไตล์ของพนักงานมากขึ้น สะท้อนผ่านสวัสดิการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วอยเชอร์สำหรับซื้อหนังสือปีละ 5 เล่ม คอร์สเรียนพัฒนาตนเองด้านไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเกี่ยวกับงาน จะเต้น จะเล่นดนตรี จะไปดูคอนเสิร์ต หรือจะทำอาหารได้หมด รวมถึงเงิน Pocket money เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พนักงานไปเที่ยวพักผ่อน
มีห้องเล่นเกม ห้อง Nap มีขนม มีชานม ให้พนักงานผ่อนคลายได้ตลอดทั้งวัน ไปจนถึงมีผ้าอนามัยให้สาว ๆ ใช้กันฟรี เรียกว่าได้ว่าส่งเสริมและซัพพอร์ตทุกความสุขของคนทำงานแบบโอเพนมาก ๆ
5.สวัสดิการเรื่องการพัฒนาตัวเอง
ปิดท้ายด้วยกลุ่มสวัสดิการเอาใจคนรักที่จะพัฒนาตัวเองตามสายงาน ทั้งแบบ soft skill และ hard skill อยากพัฒนาทักษะไหนก็ล็อกเป้าแล้วนำค่าใช้จ่ายส่วนนั้นมาเบิกกับทางออฟฟิศได้ทั้งหมด หรือบางบริษัทเองเลือกกำหนดคอร์สเรียนมาเลยทั้งปี แล้วให้พนักงานที่สนใจเลือกลงตามความพอใจได้ ทั้งแบบมีวิทยากรมาสอน และอบรมออนไลน์ได้ใบ certificate ซึ่งรายละเอียดแตกต่างกันไปตาม culture ของแต่ละองค์กร
การมีสวัสดิการที่ดี ครอบคลุมกับความต้องการของพนักงาน ยิ่งจะช่วยเพิ่มความสุขให้กับคนทำงาน พนักงานเองทำงานด้วยใจที่เป็นสุข productive มากขึ้น ผลลัพธ์งานก็ย่อมออกมาดี คนลาออกน้อยลง บริษัทเองก็ได้งานที่มีประสิทธิภาพ และลดรายจ่ายในการหาคนทำงานได้มากขึ้น win-win ทั้งสองฝ่าย